4. หัวเชื่อมต่อแบบ SMA เป็น Connector อีกแบบหนึ่งที่ได้รับความนิยมมาก โดยเฉพาะในงานของNATO และใน กิจการทางทหารของสหรัฐ ออกแบบโดย Amphenol Corp. |
|
รูปที่ 39แสดงลักษณะของ SMA Connector |
|
5. หัวเชื่อมต่อแบบ ST เป็น Connector ที่ถูกนำมาใช้งานสำหรับสาย Fiber Optic ชนิด Single Mode และ Multimode มากที่สุด โดยที่ Connector ประเภทนี้ มีอัตราการสูญเสียกำลังแสงเพียงแค่ไม่เกิน 0.5 dB เท่านั้น วอธีการเชื่อมต่อก็เพียงสอด เข้าไปที่รู Connector แล้วบิดตัวเพื่อให้เกิดการล็อคตัวขึ้น เพิ่มความทนทาน ทำให้ไม่เกิดปัญหาเนื่องจาการสั่นสะเทือน ถูกนำมา ใช้กับระบบ LAN Hub หรือ Switches
|
|
รูปที่ 38 แสดงลักษณะของ ST-Connector และ อุปกรณ์ตัวแปลงสาย LAN ที่ใช้ ST Connector Jack |
|
หลักการในการเดินทางของคลื่นแสงในสายใยแก้วนำแสง ในกรณีที่มีการฉายลำแสงหลายลำเข้าสู่แท่งแก้วตันที่วางอยู่ในอากาศ จะพบว่า ถ้ามุมตกกระทบของลำแสงที่ผนังแท่ง แก้วตันมีขนาดเล็ก ลำแสงจากแท่งแก้วจะทะลุสู่อากาศ และถ้ามุมตกกระทบโตขึ้นเรื่อยๆ ลำแสงจะเบนเข้าหาแท่งแก้วตันมากขึ้น เรื่อยๆแต่ยังผ่านทะลุแท่งแก้วออกสู่อากาศ จนมีมุมตกกระทบค่าหนึ่ง ที่ทำให้ลำแสงเดินขนานกับรอยต่อระหว่างแท่งแก้วกับ อากาศ ซึ่งเรียกมุมตกกระทบมุมนี้ว่า มุมวิกฤต (Critical Angle) ดังที่ทราบกันและถ้ามุมตกกระทบโตขึ้นเกินกว่ามุมวิกฤต ลำแสง จะไม่สามารถหักเหออกจากแท่งแก้วได้และจะสะท้อนกลับเข้ามาในแท่งแก้ว ถ้าแท่งแก้วนี้ยาวมาก ลำแสงนี้ก็จะสะท้อนกลับไปกลับมาอยู่ในแท่งแก้วนี้เรื่อยไป โดยการสะท้อนของแสงใน ลักษณะเช่นนี้เอง ทำให้แสงสามารถเคลื่อนที่จากปลายข้างหนึ่งไปยังปลายอีกข้างหนึ่งของแท่งแก้วนั้นได้ ในทำนองเดียวกัน ลักษณะการเคลื่อนที่ของแสงในใยแสงนั้น ก็เป็นเช่นเดียวกับการเคลื่อนที่ของแสงตามรูปที่ นี้เองเพราะแกนของ สายใยแก้วนำแสงซึ่งใช้เพื่อเป็นทางเดินของสัญญาณแสงนั้น ก็มีลักษณะของโครงสร้างเหมือนกับแท่งแก้วทรงกระบอกที่มี เส้นผ่านศูนย์กลาง ขนาดเล็กมากๆ นั่นเอง |
การสูญเสียของสัญญาณแสงในสาย Fiber Optic การสูญเสียของสัญญาณแสงในสาย Fiber Optic เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดความผิดพลาดของข้อมูลข่าวสาร ทำให้การ เชื่อมต่อสื่อสารด้วยระยะทางไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง (ปกติสาย Fiber Optic สามารถเชื่อมต่อได้ด้วยระยะทางที่ยาวเกินกว่า 1-2 กิโลเมตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่า ใช้สาย Fiber Optic แบบใด รวมทั้งยังขึ้นอยู่กับโปรโตคอลของเครือข่าย อย่างไรก็ดีการสูญเสียของ กำลังแสงในสาย มีหลายประการดังนี้
1. ความสูญเสีย Power ของ Fiber Optic นั้นขึ้นอยู่กับ ความยาวคลื่นที่ใช้ ความยาวคลื่นยิ่งมาก อัตราการสูญเสียของ แสงจะน้อยลง เช่น การสูญเสียกำลังแสง บนความยาวคลื่น 1300 nm ได้แก่ <0.5 dB/กิโลเมตร
2. สำหรับ Silica Glass นั้น ความยาวคลื่นสั้นที่สุด จะมีอัตราการสูญเสียมากที่สุด
3. อัตราการสูญเสีย Power ที่น้อยที่สุด ได้แก่ ความยาวคลื่น 1550 nm
4. หน่วยวัดที่แสดงการสูญเสียของ Power ได้แก่ Decibel (dB) โดยมีหน่วยคิดเป็น dB ต่อกิโลเมตร
5. ค่านี้ ถูกนำมาคำนวณ โดยเอาความยาวทั้งหมดของสาย Fiber Optic คิดเป็น Km
6. การสูญเสียของ Fiber Optic สามารถมีสาเหตุหลายประการดังนี้
- Extrinsic
- Bending Loss เนื่องจากการโค้งงอของสาย เกินค่ามาตรฐานที่ผู้ผลิตกำหนด
- การสูญเสียอันเนื่องมาจากการ ทำ Splice รวมทั้งการเข้าหัวสายที่ไม่สมบูรณ์
- การสูญเสียเนื่องจากรอยแตกหักเกิดขึ้นที่พื้นผิว
- การสูญเสียอันเนื่องจาก มุมแสงไม่เป็นไปตามคุณลักษณะจำเพาะของผู้ผลิต (Numeric Aperture Mismatch)
การดูแลรักษาสาย Fiber Optic 1. Minimum Bend Radius สาย Fiber Optic ถูกกำหนดให้มี Minimum Bend Radius จากผู้ผลิต เพื่อเป็นเงื่อนไขของ Load ที่มีต่อสาย เช่นช่วงที่มีการดึงสาย และในช่วงที่สาย อยู่ในสภาวะที่ไม่ได้ Load เช่น ช่วงที่มีการติดตั้งสายเรียบร้อยแล้ว โดยสาย Fiber จะต้องไม่เกิดภาวะ Minimum Bend Radius ในท่อเกินไปกว่าที่กำหนดขึ้นโดยผู้ผลิต (สายที่อยู่ในท่อจะต้องไม่มี
การงอไปงอมาเป็นงูเลื้อยมากเกินกว่าค่า Minimum Bend Radius)
2. สาย Fiber และ Patch Cord ปกติจะมีค่า Minimum Bending ระหว่าง 2-3 ซ.ม และค่าของ Minimum Bending นี้ยัง ขึ้นอยู่กับ Operating Wavelength ของสายที่ใช้ และค่า Minimum Bending จะมากขึ้น มากขึ้น ตามขนาดความยาวคลื่นที่ใช้
3. การโค้งงอของสายที่มากเกินไป จะส่งผลให้เกิดความเสียหายแก่สาย Fiber ตรงที่ทำให้เกิด Attenuation เพิ่มขึ้นเป็น อย่างมากเกินค่าที่ผู้ผลิตตั้งไว้ นอกจากนี้ จะทำให้สายเกิดความเสียหายอีกด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น