วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

อุปกรณ์ที่ใช้ในระบบเครือข่าย

อุปกรณ์ที่ใช้ในระบบเครือข่าย

 
1. เครื่องคอมพิวเตอร์

                หน้าที่สำคัญที่สุดของระบบเครือข่ายก็คือการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน คอมพิวเตอร์เหล่านี้ไม่จำเป็นต้องเป็นชนิดเดียวกันเช่น ในระบบเครือข่ายของเราอาจทำการเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ เครื่องคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค และเครื่องเมนเฟรม ก็ได้
                                                                           
    
2.ทรัพยากรระบบ ( Resource )
ทรัพยากรของระบบเครือข่ายคืออุปกรณ์ที่คอมพิวเตอร์บนเครือข่ายสามารถเรียกใช้ได้ ทรัพยากรในระบบที่มีอยู่โดยทั่วไปคือ เครื่องพิมพ์ ทำให้ผู้ใช้ระบบเครือข่ายทุกคนสามารถส่งเอกสารออกพิมพ์ยังเครื่องพิมพ์ส่วนกลางนั้นได้ ไม่จำเป็นต้องต่อเครื่องพิมพ์สำหรับทุกเครื่องในเครือข่าย ทรัพยากรอื่นๆได้แก่ เครื่องโทรสาร อุปกรณ์เก็บข้อมูลสำรอง เช่น เทปไดร์ฟ และฮาร์ดไดร์ฟ ฯลฯ
         
3. สายเคเบิลสื่อสาร ( Cable )
                   สายเคเบิลสื่อสารใช้ในการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์และทรัพยากรระบบเข้าด้วยกันเป็นเครือข่าย ข้อมูลหรือสัญญาณที่ส่งออกจากคอมพิวเตอร์ต้นทางจะถูกส่งผ่านสายสื่อสารนี้ไปยังคอมพิวเตอร์ปลายทาง สายสื่อสารมีอยู่หลายชนิด ได้แก่ สายคู่บิดเกลียว ( Twisted Pair ) สายโคแอกเชียล (Coaxial) และสายใยแก้วนำแสง ( Fiber Optic )

 4. ตัวเชื่อมระบบ ( Connector )
               ตัวเชื่อมระบบเป็นอุปกรณ์สำหรับเชื่อมต่อระบบเครือข่ายสองระบบเข้าด้วยกัน เพื่อให้คอมพิวเตอร์ในระบบทั้งสองสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกันหรือใช้ทรัพยากรของอีกระบบได้ ตัวเชื่อมระบบที่ใช้กันทั่วไป ได้แก่ บริดจ์ ( Bridge ) และอุปกรณ์จัดเก็บเราเตอร์ ( Router )

5. การ์ดเชื่อมเข้าเครือข่าย ( NIC : Network Interface Card )
คือ การ์ดซึ่งเป็นอุปกรณ์เชื่อมคอมพิวเตอร์เข้ากับสายสื่อสาร และเป็นตัวควบคุมการส่งผ่านข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กับเครือข่าย โดยอุปกรณ์ตัวนี้จะมีช่องสำหรับต่อกับสายสื่อสารเพื่อเชื่อมเข้ากับเครือข่ายต่อไป
 

ตัวอย่างของโมเด็มมาตรฐาน

ตัวอย่างของโมเด็มมาตรฐาน
             
Modulator - Demodulator
  •  Modulator  การแปลงสัญญาณจากแบบดิจิตอลไปเป็นแบบอะนาลอก
  • Demodulator  การแปลงสัญญาณจากแบบอะนาลอกไปเป็นแบบดิจิตอล 


ฟรอนท์เอ็น (Front-end Processor)          ฟรอนต์-เอ็นโปรเซสเซอร์ หรือ FEP เป็นคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อโฮสต์คอมพิวเตอร์  หรือมินิคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์ของเครือข่ายการสื่อสารข้อมูล     (ได้แก่ มัลติเพล็กเซอร์ โมเด็ม และอื่น ๆ )  มินิคอมพิวเตอร์บางเครื่องก็ไม่จำเป็นต้องใช้ฟรอนต์-เอ็นโปรเซสเซอร์ช่วยในการเชื่อมต่อการสื่อสาร         ฟรอนต์-เอ็นโปรเซสเซอร์จะเชื่อมต่อโดยตรงกับโฮสต์คอมพิวเตอร์   โดยผ่านช่องทางข้อมูลอัตราเร็วสูงในเครือข่ายขนาดใหญ่  ช่องทางดังกล่าวอาจจะใช้สายไฟเบอร์ออปติก ส่วนอีกด้านหนึ่งของฟรอนต์-เอ็นโปรเซสเซอร์ก็ต่อเข้ากับมัลติเพล็กซ์เซอร์  หรือโมเด็ม  หรือต่อเข้าโดยตรงกับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์แบบพอร์ตต่อพอร์ต เพราะว่าฟรอนต์-เอ็นโปรเซสเซอร์เป็นคอมพิวเตอร์         ดังนั้นจึงต้องมีฮาร์ดแวร์ หน่วยความจำ และซอฟต์แวร์ (โปรแกรม)  เป็นของตัวเอง  จำนวนของอุปกรณ์ที่ต่อเข้ากับพอร์ตของฟรอนต์-เอ็นโปรเซสเซอร์อาจจะมีได้มากถึง  64 หรือ 128  หรือ  256 อุปกรณ์ต่อฟรอนต์-เอ็นโปรเซสเซอร์  1 เครื่อง  อย่างไรก็ตามเรายังต้องคำนึงเวลาในการตอบสนองให้ทันต่อการใช้งาน  ซึ่งจะทำให้เราต้องลดจำนวนอุปกรณ์ลงมา  และยังขึ้นอยู่กับขนาดของหน่วยความจำอีกด้วย
   หน้าที่โดยหลัก ๆ ของฟรอนต์-เอ็นโปรเซสเซอร์ มีดังนี้
  1. แก้ไขข่าวสาร : ด้วยการจัดเส้นทางข่าวสาร อัดขนาดข้อมูล และแก้ไขข้อมูล
  2. เก็บกักข่าวสาร : เป็นการเก็บกักข่าวสารข้อมูลไว้ชั่วคราว  เพื่อจัดระเบียบการเข้า-ออกของข้อมูลของคอมพิวเตอร์  และจัดลำดับความสำคัญก่อน-หลังของสายและผู้ใช้
  3. เปลี่ยนรหัส : เปลี่ยนอักขระและข่าวสารจากรหัสหนึ่งไปเป็นอีกรหัสหนึ่ง  หรือระหว่างโปรโตคอลหนึ่งไปเป็นอีกโปรโตคอลหนึ่ง
  4. รวบรวมหรือกระจายอักขระ : จากบิตเป็นอักขระหรือจากอักขระเป็นบิต สำหรับการส่งข้อมูลแบบอะซิงโครนัสและซิงโครนัส
  5.  ควบคุมอัตราเร็ว : ควบคุมอัตราเร็วการส่ง-รับข้อมูลของสายส่งข้อมูลกับฮาร์ดแวร์ให้สัมพันธ์กัน
  6. จัดคิว : ควบคุมคิวการเข้า-ออกของข้อมูลคอมพิวเตอร์หลัก
  7. ตรวจจับและควบคุมความผิดพลาด : เพื่อร้องขอให้มีการส่งข้อมูลมาใหม่ เมื่อตรวจจับได้ว่ามีความผิดพลาดในการส่งข้อมูลเกิดขึ้น
  8. อีมูเลต : เป็นการเลียนแบบซอฟต์แวร์ของฮาร์ดแวร์อันหนึ่งให้  "ดูเสมือน"  กับซอฟต์แวร์ของฮาร์ดอื่น ๆ ในเครือข่ายในเครือข่าย ฯลฯ
มัลติเพล็กเซอร์ (Multiplexer)
                การทำงานของมัลติเพล็กเซอร์  มัลติเพล็กเซอร์จะรับสัญญาณข้อมูลจากผู้ส่งข้อมูลจากแหล่งต้นทางต่างๆ 
ซึ่งต้องการจะส่งข้อมูลไปยังปลายทางในที่ต่างๆกัน  ดังนั้นสัญญาณข้อมูลต่างๆเมื่อผ่านมัลติเพล็กซ์เซอร์ มัลติเพล็กซ์เซอร์ก็จะเรียงรวม(มัลติเพล็กซ์)กันอยู่ในสายส่งข้อมูลเพียงสายเดียว  และเมื่อสัญญาณข้อมูลทั้งหมดมา
ถึงเครื่องมัลติเพล็กซ์เซอร์ชึ่งเรียกว่า อุปกรณ์ดีมัลติเพล็กซ์เซอร์อีกเครื่องหนึ่งทางปลายทาง สัญญาณทั้งหมดก็จะถูกแยก
(ดีมัลติเพล็กซ์) ออกจากกันไปตามเครื่องรับปลายทางของแต่ละช่องทางสายส่งข้อมูลที่ใช้ในการส่งข้อมูลจะต้องมีความจุสูง
จึงจะสามารถรองรับปริมาณข้อมูลจำนวนมากที่ถูกส่งผ่านมาพร้อมๆกันได้  สายส่งข้อมูลดังกล่าว  ได้แก่  สายโคเอก 
สายไฟเบอร์ออปติก  คลื่นไมโครเวฟ  และคลื่นดาวเทียม                วิธีการรวมช่องทางการสื่อสารข้อมูล  หรือการมัลติเพล็กซ์ที่จะกล่าวถึงในที่นี้มีอยู่  3  วิธีคือ
  1. การมัลติเพล็กซ์แบบแบ่งตามความถี่  (Frequency Division Multiplexing)  หรือ FDM ซึ่งเป็นแบบที่นิยมใช้กันมากที่สุดโดยเฉพาะด้านวิทยุและโทรทัศน์
  2. การมัลติเพล็กซ์แบบแบ่งตามเวลา  (Time Division Multiplexing)  หรือ TDM  ซึ่งรู้จักกันดีในชื่อของซิงโครนัส TDM (Synchronous TDM) ส่วนใหญ่จะใช้ในการมัลติเพล็กซ์สัญญาณเสียงดิจิตอล  เช่น แผ่นเพลง CD
  3. การมัลติเพล็กซ์แบบแบ่งตามเวลาด้วยสถิติ (Statistical Time Division Multiplexing) หรือ STDM ซึ่งมี่ชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อะซิงโครนัส TDM (Asynchronous TDM) หรืออินเทลลิเจนท์ TDM(Intelligent TDM) ในที่นี้เราจะใช้ชื่อเรียกสั้นๆว่า STDMสำหรับ STDM เป็นวิธีการมัลติเพล็กซ์ที่ปรับปรุงการทำงานมาจากวิธีซิงโครนัส TDMให้มีประสิทธิภาพสูงยิ่งขึ้นเพื่อรองรับจำนวนช่องทางให้ได้มากขึ้น
หน่วยควบคุมการแยกสัญญาณ (Cluster Control Unit)

อุปกรณ์ที่ใช้การสื่อสารข้อมูลคอมพิวเตอร์

อุปกรณ์ที่ใช้การสื่อสารข้อมูลคอมพิวเตอร์
 
ฮับ หรือ รีพีทเตอร์ (Hub, Repeater)
          เป็นอุปกรณ์ที่ทวน และขยายสัญญาณ เพื่อส่งต่อไปยังอุปกรณ์อื่น ให้ได้ระยะทางที่ยาวไกลขึ้น ไม่มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลก่อนและหลัง การรับ-ส่ง และไม่มีการใช้ซอฟท์แวร์ใดๆ มาเกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ชนิดนี้ การติดตั้งจึงทำได้ง่าย ข้อเสียคือ ความเร็วในการส่งข้อมูล จะเฉลี่ยลดลงเท่ากันทุกเครื่อง เมื่อมีคอมพิวเตอร์มาเชื่อมต่อมากขึ้น
สวิทช์ หรือ บริดจ์ (Switch, Bridge)
          เป็นอุปกรณ์สำหรับเชื่อมต่อ เครือข่ายท้องถิ่น หรือ แลน (LAN) ประเภทเดียวกัน ใช้โปรโตคอลเดียวกัน สองวงเข้าด้วยกัน เช่น ใช้เชื่อมต่อ อีเธอร์เน็ตแลน (Ethernet LAN) หรือ โทเคนริงก์แลน (Token Ring LAN) ทั้งนี้ สวิทช์ หรือ บริดจ์ จะมีความสามารถในการเชื่อมต่อ ฮาร์ดแวร์ และตรวจสอบข้อผิดพลาด ของการส่งข้อมูลได้ด้วย ความเร็วในการส่งข้อมูล ก็มิได้ลดลง และติดตั้งง่าย
เร้าเตอร์ (Router)
           เป็นอุปกรณ์ที่ทำงานคล้าย สวิทช์ แต่จะสามารถเชื่อมต่อ ระบบที่ใช้สื่อ หรือสายสัญญาณต่างชนิดกันได้ เช่น เชื่อมต่อ อีเธอร์เน็ตแลน
(Ethernet LAN) ที่ส่งข้อมูลแบบ ยูทีพี (UTP: Unshield Twisted Pair) เข้ากับ อีเธอร์เน็ตอีกเครือข่าย แต่ใช้สายแบบโคแอ็กเชียล
(Coaxial cable) ได้ นอกจากนี้ยังช่วยเลือก หรือกำหนดเส้นทางที่จะส่งข้อมูลผ่าน และแปลงข้อมูลให้เหมาะสมกับการนำส่ง แน่นอนว่าการติดตั้งย่อมยุ่งยากมากขึ้น
เกทเวย์ (Gateway)
           เป็นอุปกรณ์ที่มีความสามารถสูงสุด ในการเชื่อมต่อเครือข่ายต่างๆ เข้าด้วยกัน โดยไม่มีขีดจำกัด ทั้งระหว่างเครือข่ายต่างระบบ หรือแม้กระทั่ง โปรโตคอล จะแตกต่างกันออกไป เกทเวย์ จะแปลงโปรโตคอล ให้เหมาะสมกับอุปกรณ์ที่ต่างชนิดกัน จัดเป็นอุปกรณ์ที่มีราคาแพง และติดตั้งใช้งานยุ่งยาก เกตเวย์บางตัว จะรวมคุณสมบัติในการเป็น เร้าเตอร์ ด้วยในตัว หรือแม้กระทั่ง อาจรวมเอาฟังก์ชั่นการทำงาน ด้านการรักษาความปลอดภัย ที่เรียกว่า ไฟร์วอลล์ (Firewall) เข้าไว้ด้วยกัน
โมเดม (Modem)

โครงสร้างแบบสตาร์ (Star Network)

โครงสร้างแบบสตาร์ (Star Network)
ลักษณะการเชื่อมต่อของโครงสร้างแบบสตาร์จะคล้าย ๆ กับดาวกระจาย ดังรูปที่ได้แสดงไว้
คือมีอุปกรณ์ประเภท Hub หรือ Switch เป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อแบบนี้มีประโยชน์คือ เวลาที่มีสายเส้นใดเส้นหนึ่งหลุดหรือเสียก็จะไม่มีผลต่อการทำงานของระบบโดยรวมแต่อย่างใด นอกจากนี้หากต้องการเพิ่มเครื่องคอมพิวเตอร์เข้าไปในเครือข่ายก็สามารถทำได้ทันทีโดย
ไม่ต้องหยุดการทำงานของเครือข่ายก่อน การต่อแบบสตาร์นี้เป็นแบบที่นิยมมากในปัจจุบัน เนื่องจากราคาอุปกรณ์ที่มาใช้เป็นศูนย์กลางอย่าง Hub หรือ Switch ลดลงมากในขณะที่ประสิทธิภาพหรือความเร็วเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนปัจจุบันได้ความเร็วถึง
ระดับของกิกาบิต (1,000 Mbps) แล้ว







รูปของโครงสร้างแบบสตาร์ (Star network)

1. การเชื่อมต่อแบบบัส

1. การเชื่อมต่อแบบบัส
เป็นการเชื่อมต่อเครื่องข่ายคอมพิวเตอร์โดยใช้สายนำสัญญาณหลักเพียงเส้นเดียว
(Back Bone) และที่ปลายสาย
ทั้ง
2 ด้านจะมี Terminators ที่มีความต้านทาง 50 โอห์ม ติดอยู่โดยเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องซึ่งมักถูกเรียกว่า
โหนด
(Node)จะทำการเชื่อมต่อกับสายนำสัญญาณหลักนี้ตลอดแนวความยาวของสายรูปแบบการเชื่อมต่อชนิดน
ี้นิยมใช้กับสายนำสัญญาณแบบโคแอกเชียลเทคนิคการเชื่อมต่อแบบบัสยังสามารถแบ่งแยกย่อยได้ตามขนาด
ความหนาของสายนำสัญญาณหากใช้สายโคแอกเชียลแบบหนา
(ThickCoaxial)จะมีอุปกรณ์ต่อแยกการเชื่อมต่อ
จากสายนำสัญญาณหลักออกเป็นสายย่อยความยาวสั้นๆเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์หนึ่งชุดต่อหนึ่งเครื่องสำหรับสาย
โคแอกเขียลแบบบางผู้ใช้งานจะสามารถนำสายดังกล่าวเชื่อมต่อเข้าและออกจากเครื่องคอมพิวเตอร์ได้โดยตรง
รูปที่ 2.1 แสดงการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายแบบบัส
2. การเชื่อมต่อแบบวงแหวน
เป็นการนำปลายเปิดทั้งสองด้านของการเชื่อมต่อแบบบัสมาเชื่อมต่อเข้าด้วยกันเกิดเป็น รูปวงแหวน โดยข้อมูลจะวิ่งวนในวงแหวนในทิศทางไดทิศทางหนึ่งตลอด ลักษณะการเชื่อมต่อแบบนี้ไม่ได้รับความนิยม
ใช้งานมากนักเพราะหากเกิดปัญหาขึ้นกับสายนำสัญญาณในจุดใดจุดหนึ่งก็จะทำให้ทั้งเครือข่ายไม่สามารถ
ทำงานได้ทันทีปัจจุบันมีความพยายามในการออกแบบทางเทคนิคเพื่อทำให้ข้อมูลภายในเครือข่ายแบบวงแหวน
สามารถเคลื่อนที่ไปได้ทั้ง
2ทิศทางไม่ว่าจะเป็นทิศทางตามเข็มนาฬิกาและทวนเข็มนาฬิกาซึ่งเป็นเรื่อง
ของโปรโตคอล
รูปที่ 2.2 การเชื่อมต่อระบบเครือข่ายแบบวงแหวน
3. การเชื่อมต่อแบบดวงดาว
พัฒนาขึ้นหลังจากมีการเชื่อมต่อแบบบัสซึ่งลักษณะการเชื่อมต่อแบบนี้ปัจจุบันได้กลายมาเป็นการเชื่อมต่อที่ได้รับ
ความนิยมใช้งานทั่วโลก มีแนวคิดดังในรูปที่
2.3 คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องมีการเชื่อมต่อเข้ากับระบบเครือข่าย
โดยใช้สายนำสัญญาณต่อเข้าสู่อุปกรณ์ที่มีชื่อว่าฮับ
(Hub) ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่มีการติดตั้งไว้ในจุด ๆ หนึ่งทำหน้าที่
เชื่อมต่อวงจรหรือการเชื่อมต่อภายในระบบเครือข่ายเข้าด้วยกันเครื่องคอมพิวเตอร์ไม่ว่าจะเป็นเซิร์ฟเวอร์หรือ
ไคลเอนด์ต่างต้องเชื่อมต่อกับฮับข้อดีของการเชื่อมต่อแบบดวงดาวก็คือหากสายนำสัญญาณเส้นใดเส้นหนึ่งขาด
หรือเสียหายก็จะส่งผลกระทบเฉพาะกับคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียวมิได้ส่งผลต่อระบบเครือข่ายโดยรวม
รูปที่ 2.3 การเชื่อมต่อระบบเครือข่ายแบบดวงดาว (Star)

การเชื่อมต่อแบบวงแหวน (RING TOPOLOGY)

การเชื่อมต่อแบบวงแหวน (RING TOPOLOGY)
การเชื่อมต่อแบบวงแหวน (RING TOPOLOGY) เป็นการเชื่อมต่อเครือข่าย เป็นรูปวงแหวนหรือแบบวนรอบ โดยสถานีแรก เชื่อมต่อกับสถานีสุดท้าย การรับส่งข้อมูลในเครือข่ายจะต้องผ่านทุกสถานี โดยมีตัวนำข่าวสาร วิ่งไปบนสายสัญญาณ ของแต่ละสถานี ต้องคอยตรวจสอบข้อมูลที่ส่งมา ถ้าไม่ใช่ของตนเอง ต้องส่งผ่านไปยังสถานีอื่นต่อไป ตัวอย่างเช่น การเชื่อมต่อของ IBM Token Ring ที่ต้องมีตัวนำข่าวสาร หรือ Token นำข่าวสารวิ่งวนไปรอบสายสัญญาณหรือ Ring แต่ละสถานีจะคอยตรวจสอบ Token ว่าข่าวสารที่นำมาด้วยเป็นของตนหรือไม่ ถ้าใช่ก็จะรับข่าวสารนั้นไว้ แล้วส่ง Token ให้สถานีอื่นใช้ต่อไปได้
ข้อดี ของการเชื่อมต่อแบบนี้คือ ใช้สายส่งสัญญาณน้อยกว่าแบบดาว เหมาะกับการเชื่อมต่อ ด้วยสายสัญญาณใยแก้วนำแสง เพราะส่งข้อมูลทางเดียวด้วยความเร็วสูง
ข้อเสีย คือถ้าสถานีใดเสีย ระบบก็จะไม่สามารถทำงานต่อไปได้ จนกว่าจะแก้ไขจุดเสียนั้น และยากในการตรวจสอบว่ามีปัญหาที่จุดใด และถ้าต้องการเพิ่มสถานีเข้าไป จะกระทำได้ยาก

เครือข่ายคอมพิวเตอร์

เครือข่ายคอมพิวเตอร์

เครือข่ายคอมพิวเตอร์
คือ การนำเอาเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไปมาเชื่อมต่อกันโดยผ่านสื่อกลางในการสื่อสารข้อมูลซึ่งกันและกัน และใช้ทรัพยากรร่วมกัน เช่น เครื่องพิมพ์ หรืออุปกรณ์อื่นๆ เครือข่ายคอมพิวเตอร์แบ่งตามสภาพการเชื่อมโยงได้เป็น 4 ชนิด คือ
1. เครือข่ายคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล หรือ แพน (Personal Area Network : PAN) เป็นเครือข่ายที่ใช้ส่วนบุคคล ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อแบบไร้สายในระยะใกล้ เช่น การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กับโทรศัพท์มือถือ การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กับเครื่อพีดีเอ เป็นต้น
2. เครือข่ายเฉพาะที่ หรือ แลน (Local Area Network : LAN) เป็นเครือข่ายขนาดเล็กซึ่งเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์สื่อสารที่อยู่ในท้องที่บริเวณเดียวกัน เช่น ภายในอาคาร หรือภายในองค์กรที่มีระยะทางไม่ไกลมากนัก เป็นต้น โดยคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะต่อเข้ากับอุปกรณ์เครือข่าย เช่น ฮับ สวิตซ์ เป็นต้น ซึ่งอุปกรณ์เครือข่ายแต่ละตัวจะเชื่อมต่อกันโดยใช้สายตีเกลียวคู่ สายใยแก้วนำแสงหรือคลื่นวิทยุ และเครือข่ายแลนจะเชื่อมต่อกันด้วยอุปกรณ์จัดเส้นทาง
3. เครือข่ายนครหลวง หรือ แมน (Metropolitan Area Network : MAN) เป็นเครือข่ายที่เชื่อมโยงแลนที่อยู่ห่างกัน เช่น ระหว่างสำนักงานที่อยู่คนละอาคาร ระบบเคเบิลทีวีตามบ้านในปัจจุบัน เป็นต้น โดยมีลักษณะการเชือมโยงคอมพิวเตอร์ที่มีระยะห่างไกลกันในช่วง 5 – 40 กิโลเมตร ผ่านสายสื่อสารประเภทสายใยแก้วนำแสง สายโคแอกเชียล หรืออาจใช้คลื่นไมโครเวฟ
4. เครือข่ายวงกว้าง หรือแวน (Wide Area Network : WAN) เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงระบบคอมพิวเตอร์ในระยะห่างไกล มีการติดต่อสื่อสารกันในบริเวณกว้าง เช่น เชื่อมโยงระหว่างจังหวัด ระหว่างประเทศ เป็นต้น